รู้ก่อนตัดสินใจ: ข้อดี-ข้อเสียผ่าตัดกระเพาะ Sleeve และ Bypass สั้นๆ เข้าใจง่าย

ในปัจจุบันการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักเพื่อรักษาโรคอ้วน เรียกได้ว่าเป็นวิธีรักษาทางการแพทย์ที่รักษาโรคอ้วนที่ต้นเหตุ สามารถลดน้ำหนักได้จริง และไม่ทำให้กลับไปอ้วนอีก หากผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร และมีวินัยในการออกกำลังกายสม่ำเสมอ 

การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมมี 2 วิธี คือ การผ่าตัดกระเพาะบางส่วนแบบสลีฟ (Gastric Sleeve) และการผ่าตัดกระเพาะร่วมกับตัดต่อลำไส้แบบบายพาส (Gastric Bypass) ซึ่งทั้ง 2 วิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้

การผ่าตัดกระเพาะบางส่วนแบบสลีฟ (Gastric Sleeve)

• เป็นวิธีการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารให้เหลือเพียง 20% 
• หลังผ่าตัดจะทำให้กระเพาะเล็กลง ทำให้อิ่มง่าย
• นอกจากผ่าตัดลดขนาดกระเพาะแล้ว ยังผ่าตัดฮอร์โมนหิวออกด้วย ทำให้ไม่รู้สึกหิวโหย (ฮอร์โมนหิว: ฮอร์โมนที่กระตุ้นความอยากอาหาร)
• ใช้เวลาผ่าตัด 45 นาที
• สามารถลดน้ำหนักได้ 65% ของน้ำหนักส่วนเกิน
• เหมาะกับผู้ที่ชอบทานอาหารในปริมาณมาก
• ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนรุนแรง
• ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ กรดไหลย้อน
• สามารถผ่าตัดแก้ไขได้ (เปลี่ยนเป็น Bypass)

การผ่าตัดกระเพาะร่วมกับตัดต่อลำไส้แบบบายพาส (Gastric Bypass)

• ตัดกระเพาะและตัดต่อลำไส้
• ลดการดูดซึมอาหารร่วมด้วย
• ใช้เวลาผ่าตัด 2 – 3 ชั่วโมง
• สามารถลดน้ำหนักได้ 80% ของน้ำหนักส่วนเกิน
• เหมาะกับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารหวาน และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
• ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคร่วมรุนแรง ที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดเป็นเวลานานได้
• ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ภาวะการขาดวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งต้องรับประทานวิตามินทดแทน
• ผ่าตัดแก้ไขได้ยาก

ข้อมูลการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักนี้ เป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

“คุณภาพชีวิตที่ดี เริ่มต้นที่ความกล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง”