การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก หรือ Vertical Sleeve Gastrectomy เป็นวิธีการลดความอ้วนที่ศัลยแพทย์จะผ่าตัดกระเพาะอาหารของคนไข้ออกไป 75-80% ของขนาดกระเพาะรวมถึงส่วนที่ผลิตฮอร์โมนความอยากอาหารออกไปด้วย โดยใช้วิธีการส่องกล้อง เพื่อทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กลง เนื่องด้วยกระเพาะอาหารที่มีขนาดเล็กลงมาก คุณจะไม่สามารถรับประทานอาหารได้มากเท่าที่เคยเป็น จึงช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดี
ฮอร์โมนควบคุมความหิวลดลง ร่างกายปรับรูปแบบการรับประทานอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ฝืนร่างกายสามารถรับประทานอาหารได้ปรกติ
ข้อเสีย
ไม่ปรับพฤติกรรม มีโอกาสกลับมาอ้วนได้อีกครั้ง ไม่สามารถผ่าตัดกับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนได้
⦿ การผ่าตัดแบบสลีฟพลัสเป็นการผ่าตัดที่ผสมผสานข้อดีของสลีฟและบายพาส เมื่อติดตามไประยะยาว 10 ปี มีน้ำหนักส่วนเกินที่ลดลงได้มากถึง 84.2%
⦿ สามารถกระตุ้นให้ฮอร์โมนที่ดีช่วยแก้ไขภาวะเบาหวานได้ดีไม่ต่างจากแบบบายพาส
⦿ ป้องกันไม่ให้เกิดแผลบริเวณรอยต่อระหว่างกระเพาะกับลำไส้เล็กซึ่งอาจพบได้ในการผ่าตัดแบบบายพาส
⦿ ข้อควรระวังในการเลือกผ่าตัดคือ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวกรดไหลย้อนรุนแรง ไม่ควรทำวิธีนี้ เนื่องจากมีโอกาสที่กรดไหลย้อนเป็นเยอะขึ้นได้ประมาณ 15%
ผู้ป่วยควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างและหลังการผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดจากการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะคือการที่แผลด้านในกระเพาะปิดไม่สนิท (ความเป็นไปได้คือน้อยกว่า 1%)
ผู้ที่พยายามลดความน้ำหนักหลายครั้งด้วยวิธีธรรมชาติ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่มีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของตัวเองเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
ผู้ป่วยโรคอ้วน ที่ป่วยเป็นโรคนี้มาแล้ว 3-5 ปี ร่วมกับมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง อาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ อาการปวดข้อเนื่องจากรับน้ำหนักตัวมากเกินไป
ผู้ที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารควรมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ที่ 35 ขึ้นไป (หรือค่าดัชนีมวลกาย 32.5 และมีโรคประจำตัวร่วม) ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) สามารถคำนวณได้ด้านล่างนี้
ดัชนีมวลกาย หรือ BMI ย่อมาจาก Body Mass Index เป็นค่าสากลที่ใช้เพื่อคำนวณเพื่อหาน้ำหนักตัวที่ควรจะเป็น และประมาณระดับไขมันในร่างกายโดยใช้น้ำหนักตัว และส่วนสูง การคำนวณดัชนีมวลกายไม่ใช่การวัดโดยตรงแต่ก็เป็นตัวชี้วัดไขมันในร่างกายที่ค่อนข้างเชื่อถือได้สำหรับคนส่วนใหญ่