การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) เป็นวิธีการรักษาโรคอ้วนที่เสมือนเป็นทางออกพิเศษสำหรับการรักษาโรคอ้วนที่ได้ผลเร็วที่สุด และมีโอกาสสำเร็จทำให้ไม่กลับไปอ้วนได้อีก
ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 35 จัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยโรคอ้วนระดับ 2 ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งแต่ละโรคล้วนเป็นอันตรายถึงชีวิต
การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักรักษาโรคอ้วน เป็นการรักษาทางการแพทย์ที่ใช้เทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยด้วยการส่องกล้องเข้าไปผ่าตัดกระเพาะอาหาร โดยมีวิธีที่นิยม 2 วิธี คือ
1) การผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบสลีฟ (Sleeve gastrectomy) เป็นการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารให้เล็กลง เหลือเป็นทรงท่อคล้ายแขนเสื้อ ทำให้ผู้ป่วยทานอาหารได้น้อยลง และอิ่มเร็ว
2) การผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบบายพาส (Roux-en-Y gastric bypass) เป็นการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารและปรับเปลี่ยนทางเดินอาหาร ทำให้ผู้ป่วยทานอาหารได้น้อยลง ดูดซึมอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
ระดับความสำเร็จของแต่ละวิธีรักษาโรคอ้วนของผู้ป่วยที่มีค่า BMI เกินกว่า 35 ขึ้นไป พบว่าวิธีรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายปรับสมดุลของฮอร์โมนใหม่ตามกลไกธรรมชาติ โดยก่อให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้อิ่มเร็วขึ้น รวมไปถึงฮอร์โมนจะไม่กระตุ้นอินซูลิน ซึ่งผลการผ่าตัดจะมีโอกาสสำเร็จและได้ผลตามที่พึงพอใจสูงถึง 80% แต่ถ้าใช้วิธีพยายามลดด้วยตัวเอง หรือใช้ยาและใช้ปากกาลดน้ำหนัก จะมีโอกาสหายจากโรคอ้วนเพียง 5-10%
โดยเทคนิคของการผ่าตัดจะใช้เทคโนโลยีส่องกล้องเข้าไปผ่าตัด ทางศัลยแพทย์จะเจาะรูเล็กๆ บนหน้าท้อง 4-5 รู ขนาดประมาณ 1-2 ซม. เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กเข้าไปผ่าตัดกระเพาะอาหาร ทำให้เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว
หลังจากผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก จะทำให้น้ำหนักลดได้เร็ว 70-80% ของน้ำหนักส่วนเกินภายใน 18-24 เดือน และสามารคคุมโรคแทรกซ้อนจากความอ้วนที่เป็นอยู่ รวมทั้ง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นใจ และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารตามคำแนะนำของแพทย์และนักโภชนาการ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา เพื่อป้องกันการกลับมาของโรคอ้วน